ตามหลักฐานทางคติชนวิทยาและคำบอกเล่า
กล่าวว่าชื่อวัดสนทราตามเรื่องนางสนทราซึ่งนายเรืองเป็นผู้แต่งเมื่อ พ.ศ.2110
นางสนทราเป็นยักษ์ตนหนึ่งซึ่งพระรถฆ่าตายแล้วชาวบ้านนำศพมาทิ้งไว้ที่สระน้ำแห่งหนึ่ง
จนถึงปี พ.ศ.๒๔๘๒ ทางราชการได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น วัดสุนทราวาสจนถึงปัจจุบัน
อุโบสถ เดิมสร้างด้วยไม้ ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๕ ได้บูรณะเป็นอาาคารก่ออิฐถือปูน
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สมทบสร้างอุโบสถหลังนี้ด้วย
และยังได้รับการอุปถัมภ์จากพระยาพัทลุง (จุ้ย)
ภายในอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทองปางมารวิชัยสามองค์ ศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ฝีมือการปั้นเป็นแบบพื้นเมือง
พระประธานประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีลายแข้งสิงห์
ฝาผนังอุโบสถทั้งสี่ด้านเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังด้วยสีฝุ่น ภาพส่วนใหญ่ลบเลือนมาก
รอบอุโบสถมีกำแพงประทักษิณและกำแพงแก้วล้อมรอบ
จิตรกรรมฝาหนัง ตามประวัติกล่าวว่าเขียนขึ้นสมัยพระอุดมปิฎกเป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๕
ฝาผนังอุโบสถตอนบนเขียนเป็นเทพชุมนุมสามแถว ตอนล่างเขียนเรื่องพุทธประวัติตั้งแต่ประสูติจนปรินิพพาน
ฝาผนังระหว่างช่องหน้าต่างเขียนเรื่องทศชาติชาดก แต่ลบเลือนไปมากแล้ว
ฝาผนังด้านหน้าพระประธานเขียนเรื่องพุทธประวัติตอนผจญมาร
ด้านหลังพระประธานเขียนเรื่องพุทธประวัติตอนพระพุทธเจ้าเสด็จจากดาวดึงส์
ตอนล่างเขียนเป็นภาพพระมาลัยเสด็จไปโปรดสัตว์ในเมืองนรก
กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๘ และได้ประกาศแนวโบราณสถาน เป็นพื้นที่ประมาณ ๑ ไร่ ๑ งาน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๕
นอกจากนี้ยังมีจารึกในผนังอุโบสถ มีข้อความว่า
พระพุทธศักราชล่วงแล้ว ๒๓๘๕ พรรษา ปีขานจัตวาศก
ข้าพระพุทธเจ้า สรภิกขุ เดิมอยู่เมืองภัทรลุง มาอยู่ ณ วัดหงษ์ ในกรุงเทพมหานคร
สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในนามชื่อ พระอุดมปิฏก
ได้สร้างพระอุโบสถและโรงการบุเรียนและกุฏีลงไว้ในวัดนี้อันเปนที่เล่าเรียน นโม ก ข ตั้งแต่เปนทารกนั้นมา
มีพญาภัทรลุงจุ้ยเปนอุปการช่วยกระทำในปีฉลูเบญจศก ขอเปนอุปนิไสยแก่พรนฤพานเถิด